อัลลินา เดย์ Bangkok Thailand
ครอบครัว ความงาม ความรู้ บ้านเรือน เคล็ดลับความงาม ไลฟ์สไตล์

ประวัติศาสตร์สบู่ ของใช้ที่ทุกบ้านขาดไม่ได้

“สบู่” ของใช้ประจำบ้านที่ทุกบ้านต้องมี ไม่ว่าจะเป็น สบู่ก้อน สบู่เหลว สบู่กลีเซอรีน สบู่น้ำมันธรรมชาติ สบู่ออแกนิก หรือ สบู่เคมี เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกาย และแน่นอน ทุกคนต้องอาบน้ำ ดังนั้น สบู่ จึงเป็นอุปกรณ์ประจำบ้านที่ขาดไม่ได้ แต่รู้ไหมว่า เจ้าสบู่ที่เราใช้ๆกันอยู่ทุกวันนี้ มีความเป็นมาอย่างไร กว่าจะมาเป็นสบู่ให้เราได้ใช้ชำระล้างสิ่งสกปรกกันมาจนถึงปัจจุบัน ถ้าอย่างนั้นเราไปรู้ถึงต้นกำเนิดสบู่กันเลยดีกว่า

สบู่คืออะไร

สบู่ คือ ผลิตภัณฑ์สำหรับชำระล้างสิ่งสกปรก และทำความสะอาดร่างกาย โดยสารที่ได้จากปฏิกิริยา (Saponification) ระหว่าง “ด่าง” กับ “ไขมันสัตว์หรือไขมันพืช”

สบู่ก้อนแรกของโลก

สบู่ ถูกค้นพบครั้งแรก จากบนแท่นบูชายัญ! ใช่แล้ว การถือกำเนิดสบู่นั้น เกิดขึ้นจากแท่นสังหารเครื่องเซ่นบูชา ไม่น่าเชื่อว่า สบู่ที่เราใช้ทำความสะอาด และล้างคราบสิ่งสกปรก มีต้นกำเนิดจากการสังเวยชึวิต แต่นั่นก็ผ่านมาแล้วกว่า 2,500 ปี ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ของสบู่ที่มีมายาวนาน โดยชาวโรมันที่อยู่ในพิธีบูชายัญ ได้สังเกตว่าสัตว์ที่ถูกเผาพร้อมแท่นไม้ จะมีไขมันไหลออกมาสะสมเป็นก้อนอยู่บนแท่นพิธี เมื่อฝนตกและน้ำฝนได้ชะล้างเอาก้อนไขมันละลายลงสู่แหล่งน้ำใกล้ๆ และแม่บ้านได้นำผ้ามาซักล้างในบริเวณนั้น กลับพบว่าซักได้ง่ายและสะอาดมากขึ้น ซึ่งนั้นก็เกิดจากปฏิกิริยา Saponification เป็นผลจากไขมัน (ester) และ ด่าง (base) รวมกัน ซึ่งสบู่ที่เกิดจากปฏิกิริยาแบบนี้ จะมีกลีเซอรีนที่จะช่วยบำรุงผิวได้ดีอีกด้วย และนี่จึงเป็นที่มาของการนำไขมันแพะต้มกับขี้เถ้าจากการเผาไม้ เป็นสบู่ใช้ทำความสะอาดในยุคแรกๆ

กำเนิดสบู่บ้านสู่อุตสาหกรรมสบู่

การริเริ่มทำสบู่เพื่อใช้อาบน้ำในชีวิตประจำวัน คือ ชาวสุเมเรียน โดยการนำไขมันแพะและขี้เถ้ามาต้มให้เดือด จากนั้นคนให้เข้ากัน แล้วเติมเกลือลงไปเพื่อให้ไขมัจับตัวเป็นก้อนแข็งลอยตัวขึ้นมา ซึ่งก็คือสบู่นั่นเอง ถึงแม้ว่ามันฟังดูแล้วไม่น่าจะใช้ได้สำหรับเราๆในยุคนี้ แต่ผลผลิตที่ได้จากวิธีนี้ สามารถใช้ทำความสะอาดได้จริงของคนในยุคนั้น แต่ข้อเสียของสบู่แบบนี้คือ สบู่นิ่มและแตกเป็นชิ้นๆได้ง่าย และเมื่อมีการใช้สบู่ขยายเป็นวงกว้าง ก็ได้มีนักคิดและนักประดิษฐ์พยายามพัฒนาสบู่ให้มีความแข็งตัวและสามารถใช้ได้นานมากขึ้น โดยการนำไขที่ได้จากการต้มผสมกับสารละลายเกลือ แล้วปล่อยทิ้งไว้ระยะหนึ่ง สบู่จะมีความแข็งตัวมากกว่าเดิม เพราะไขมันได้มีเวลาจับตัวกันได้นานขึ้น

เส้นทางของสบู่พาณิชย์ ได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1879 ซึ่งสมัยนั้นฝรั่งยังไม่นิยมอาบน้ำ และไม่ได้ใส่ใจเรื่องของโรคผิวหนัง จนมีรายงานทางการแพทย์พบว่า สิ่งสกปรกจากเสื้อผ้าและแบคทีเรียบนผิวหนัง สามารถก่อให้เกิดโรคร้ายแรงอื่นๆได้ จึงได้มีการตื่นตัวในการทำความสะอาดร่างกาย และการใช้สบู่อาบน้ำมากขึ้น ซึ่งสบู่ก้อนแห่งวงการพาณิชย์เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ โดย นาย “ฮาร์เลย์ พร็อกเตอร์” ได้พบสบู่กุรุส ที่ถูกทิ้งให้ตีผสมอยู่ในเครื่องนานเกินไป เนื่องจากคนงานลืมปิดเครื่อง แต่แทนที่น่าจะใช้ไม่ได้นั้น กลับพบคุณสมบัติสบู่ก้อนเหล่านั้นมีความพิเศษ คือ มีน้ำหนักเบา และสามารถลอยน้ำได้ เพราะในเนื้อสบู่มีฟองอากาศจำนวนมาก พร็อกเตอร์ จึงร่วมมือกันกับนักเคมีนามว่า นาย “เจมส์ แกเบล” พัฒนาและผลิตสบู่ชนิดใหม่ที่เบา มีฟองนุ่ม และลอยน้ำได้ ออกมาจำหน่าย ในแบรนด์ “สบู่ไอวอรี่” และปรากฏว่า สบู่ลอยน้ำได้ของนายพร็อกเตอร์ ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ส่งผลให้พร็อกเตอร์กลายเป็นเศรษฐี จากสบู่ที่ได้มาด้วยความสะเพร่าของคนงาน จากนั้นก็มีการคิดค้นนำสีและกลิ่นแต่งเติมลงไป รวมถึงคุณสมบัติพิเศษอื่นๆ จนกลายเป็นสบู่ให้เราได้ใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้

สบู่มาจากภาษาอะไร

ในยุคแรกๆที่มีการคิดค้นสบู่ได้นั้น สบู่จะถูกเรียกว่า “ไซโป” เพราะคุณสมบัติของสบู่ คือ การทำความสะอาด ไซโป จึงหมายถึง สิ่งที่นำมาชำระล้าง นั่นเอง และก็ได้มีการผิดเพี้ยนเสียงในการเรียกไปเป็น “โซป” (soap) มาจนถึงปัจจุบัน ในสมัยก่อน การจะได้ใช้สบู่ในการอาบน้ำนั้น จะต้องเป็นชนชั้นระดับสูงเท่านั้น คนสามัญชนชาวบ้านไม่มีสิทธิ์ได้ใช้ จึงนับว่าคนยุคนี้นั้นโชคดีกว่ามาก ที่ได้มีโอกาสใช้สบู่ ทำให้อาบน้ำได้สะอาดกว่า เพราะในสมัยยุคแรกๆ แม้ว่าจะมีการอาบน้ำ แต่ก็เป็นเพียงการลงไปชำระล้างร่างกายด้วยน้ำเปล่า สามารถล้างละอองผงฝุ่นเท่านั้น แต่ร่างกายคนเรามีการผลิตน้ำมันและเหงื่อไคลทุกวัน รวมไปถึงเซลล์ผิวหนังเก่าที่ตายแล้ว และยังถูกกำจัดออกไปไม่หมดด้วยเพียงแค่น้ำเปล่า จึงทำให้ร่างกายไม่ได้มีความสะอาดที่แท้จริง

มีตำนานเล่าไว้ว่า พระนางคลีโอพัตรา เจ้าแม่แห่งวงการความงามในยุคแรกๆ เพราะพระนางมีความรักสวยรักงาม รักการบำรุงผิวพรรณ แต่งแต้มสีสันให้ร่างกาย การบำรุงความงามของผู้หญิงในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ก็มีต้นกำเนิดมาจากคลีโอพัตรา ทั้งเครื่องประทินบำรุงผิว เครื่องสำอาง เครื่องประดับ และด้วยที่พระนางก็แสวงหาวิธีการ ให้ร่างกายสะอาดและมีกลิ่นหอม ด้วยการนำพืชสมุนไพรต่างๆมาต้ม เพื่อนำมาใช้อาบน้ำทำความสะอาด และแช่ตัวเพื่อให้กลิ่นหอมของสมุนไพรนานาพรรณติดกาย เรียกได้ว่า ถ้าเรื่องที่เกี่ยวกับความสวยงาม หากสืบเสาะหาต้นกำเนิด มักจะมีชื่อพระนางคลีโอพัตราเกี่ยวข้องบ่อยครั้งไป

ประวัติสบู่ไทย

เรารู้ถึงประวัติการกำเนิดของสบู่ของโลกไปแล้ว เราย้อนมาดูสบู่ก้อนแรกของไทยกันบ้าง คนไทยสมัยโบราณที่ยังไม่มีสบู่ ก็มีการนำพืชสมุนไพร ผลไม้ ดอกไม้กลิ่นหอมต่างๆ มาใช้ในการทำความสะอาดร่างกายเช่นกัน เช่น การนำน้ำใบส้มป่อยมาอาบน้ำ การใช้มะขามเปียก ขมิ้น ไพล ลูกประคำดีควาย และสมุนไพรอื่นๆ มาขัดถูขจัดคราบไคล หรือการนำมะกรูดเผาไฟเพื่อใช้สระผม เป็นต้น ซึ่งก็ทำต่อกันมาอย่างยาวนาน จนกระทั่งปีพ.ศ.2470 คนไทยได้มีโอกาสใช้สบู่ก้อนครั้งแรก โดยชาวญี่ปุ่นเป็นผู้นำเข้ามา ซึ่งรับมาจากฝั่งยุโรปอีกที โดยสบู่ก้อนแรกของไทย เป็นสบู่อเนกประสงค์ ถูกใช้สารพัดประโยชน์ ตั้งแต่ใช้สบู่สระผม ใช้สบู่ถูตัว ใช้สบู่ล้างจาน จนไปถึงการใช้สบู่ซักผ้า

คนไทยใช้คำว่า สบู่ มาจากภาษาอะไร

อย่างที่เรารู้กันไปแล้วแต่ต้นว่า เริ่มแรก สบู่ ถูกเรียกว่า ไซโป และมีการเพี้ยนเสียงจนไปเป็น โซป แต่ชาวญี่ปุ่นที่นำสบู่เข้ามาในประเทศไทย ออกเสียงคำว่า โซป (soap) เป็น “โซปปุ” และเมื่อคนไทยเรียกตามเร็วๆ จนกลายเป็น “สบู่” นั่นเอง

สบู่สมุนไพร

สบู่ของไทย ส่วนใหญ่จะเป็นสบู่สมุนไพรธรรมชาติ ด้วยพื้นเพคนไทยโบราณนิยมนำพืชสมุนไพร ใช้ในการทำความสะอาดร่างกาย อย่างที่เรากล่าวมาข้างต้น จนเริ่มมีการนำสบู่ก้อนเข้ามาโดยชาวญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสบู่อเนกประสงค์ และมีการพัฒนาสบู่เพื่อการจำหน่าย เป็นอุตสาหกรรมเคมีมากขึ้น และการผลิตสบู่แบบดั้งเดิมมีต้นทุนสูง ใช้เวลาในการผลิตค่อนข้างนาน และผลิตได้ในจำนวนจำกัด ระบบอุตสาหกรรม โรงงานสบู่ส่วนใหญ่ จึงมีการผลิตสบู่โดยใช้สารที่มีคุณสมบัติการชำระล้าง มาอัดเป็นก้อน เติมสีและกลิ่นหอม การใส่สารเพิ่มฟอง เพื่อให้รู้สึกสะอาด อาจใส่มอยส์เจอร์ไรเซอร์ เพื่อทดแทนกลีเซอรีน ที่เคยมีในการผลิตสบู่แบบเดิม ด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ ทำให้สบู่มีความน่าใช้มากขึ้น แต่สบู่ที่แฝงไปด้วยสารเคมีต่างๆเหล่านี้ มักจะมีผลที่ตามมา คือ การระคายเคือง หรือเกิดการแพ้สำหรับผู้ใช้บางกลุ่ม และเกิดการสะสมสารเคมีไว้บนผิวกายเราทุกวันๆ ดังนั้นสบู่ทั่วไปที่หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไป ที่จำหน่ายก้อนละไม่กี่บาท เพราะทุนและแรงการผลิตระบบอุตสาหกรรม ที่สามารถผลิตได้ครั้งละมากๆ จึงอาจมีผลข้างเคียงที่ส่งผลอันตรายตามมาในอนาคต (อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว สงสัยไหมว่า สบู่ที่คุณกำลังใช้อยู่ เป็นสบู่ธรรมชาติจริงๆ หรือเคมีสังเคราะห์อัดก้อน)

แม้ว่าจะเริ่มมีการตื่นตัวในการย้อนกลับมาใช้ของจากธรรมชาติกันมากขึ้น แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อย ที่ยังคงเคยชินกับการใช้สบู่ผสมสารเคมี ที่อัดเปี่ยมไปด้วยฟองสบู่ น้ำหอม และความแข็งตัวของก้อนสบู่ ซึ่งปัจจุบันนี้ได้มีการนำสมุนไพรที่มีในธรรมชาติ มาเป็นส่วนผสมในการผลิตสบู่แทนการใช้สารเคมีสังเคราะห์ พืชสมุนไพรจะมีสรรพคุณทางยา และมีความปลอดภัยสูง สามารถทำความสะอาดร่างกายได้อย่างสบายใจ ถึงแม้อาจต้องใช้เวลา สำหรับผลที่ได้จากสรรพคุณของสมุนไพร แต่การที่ร่างกายสะอาด และไม่ต้องเสี่ยงในการเป็นนักสะสมสารเคมี ก็สบายใจได้ในทุกครั้งที่อาบน้ำ

ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้คนเริ่มหันมาใช้และนิยมในสบู่สมุนไพรไทยกันมากขึ้น เห็นได้จากมีการผลิตและจัดจำหน่ายสบู่สมุนไพรในท้องตลาดทั่วไป และทุกช่องทางแพลตฟอร์มออนไลน์กันมากขึ้น แต่ด้วยวัตถุดิบการผลิตสบู่จากธรรมชาติจริงๆนั้นจะมีต้นทุนสูง รวมไปถึงระยะเวลา และข้อจำกัดขั้นตอนการผลิต ทำให้สบู่สมุนไพรมีราคาจำหน่ายที่สูงกว่าสบู่สังเคราะห์ทั่วไป 2-3 เท่า จึงอาจทำให้ผู้บริโภคลังเลต่อการซื้อมาใช้ในแต่ละครั้ง อีกทั้งตอนนี้มีผู้ผลิตสบู่สมุนไพรมากขึ้น เรทราคาก็มีความแตกต่างกันไป ทั้งสบู่ราคาถูก และเรทราคาที่สูงกว่า ซึ่งการจะเลือกซื้อสบู่ยี่ห้อไหนดี ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของผู้บริโภค แต่อย่าลืมว่า หากต้นทุนการผลิตสูง ก็ย่อมเป็นไปได้ยากที่จะจำหน่ายในราคาต่ำ เพราะนั่นจะเท่ากับว่าขาดทุน หรือไม่เห็นกำไรเลย ซึ่งผู้ผลิตคงจะไม่ทำให้เหนื่อยเปล่า เพราะทุกอย่างมีการลงทุน ของดี ต้นทุนสูง ก็ย่อมต้องไม่ใช่ราคาที่ถูกมากเกินไปแน่ๆ ไม่ใช่จะบอกว่าของดีราคาถูกจะไม่มี เพียงแต่สามารถพิจารณา และเลือกที่จะตัดสินใจได้ เพราะหากต้องการหยุดใช้สบู่เคมี ก็ต้องได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่าจริงๆเท่านั้นเอง ว่าแล้วก็ขอไปดูสบู่ในห้องน้ำสักหน่อยดีกว่า ว่าเป็นสบู่จริงๆ หรือต้องเปลี่ยนสบู่ดีน๊าา